นายกษิต ภิรมย์ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อดีตรองนายกรัฐมนตรีเงา พรรคประชาธิปัตย์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ เกิดวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2487 เป็นบุตรชายของ ศาสตราจารย์พลเรือตรีสมภพ ภิรมย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม) อดีตอธิบดีกรมศิลปากร และอดีตคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และมหาวิทยาลัยศรีปทุม กับ นางจุนเจือ ภิรมย์ (สกุลเดิม "มุสิกะภุมมะ")
นายกษิตสำเร็จการศึกษา ปริญญาตรีสาขาวิเทศสัมพันธ์ (International Affairs) จาก มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ (Georgetown University) สหรัฐอเมริกา รุ่นเดียวกับประธานาธิบดี บิล คลินตัน แห่งสหรัฐอเมริกา และประธานาธิบดี กลอเรีย อาร์โรโย แห่งฟิลิปปินส์ และ ศึกษาต่อ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations) ที่ Institute of Social Studies เนเธอร์แลนด์ ก่อนเข้ารับราชการในกระทรวงการต่างประเทศ ยาวนานกว่า 30 ปี เคยดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ โดยตำแหน่งสุดท้ายก่อนการเกษียณอายุราชการ คือ เอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา
ระหว่างการรับราชการที่กระทรวงการต่างประเทศ นายกษิตได้รับการทาบทามจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เพื่อนร่วมรุ่นรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ของน้องชายของนายกษิต ให้เข้าร่วมในคณะทำงานของ นายชวน หลีกภัย ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ และมี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขานุการรัฐมนตรี โดยนายกษิตได้รับมอบหมายให้ดูแลการติดต่อกับต่างประเทศ และการต้อนรับบุคคลสำคัญจากต่างประเทศ ในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2544 ได้ขอให้ นายกษิต ขณะดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลินไปช่วยราชการที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เนื่องจากได้รู้จักคุ้นเคยกันในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งขณะนั้น นายกษิตดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ จาการ์ตา หลังจากนั้น จึงออกไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว และเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ก่อนเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน 2548
หลังจากเกษียณอายุราชการ นายกษิตได้เข้าร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อต่อต้าน พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และเข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยได้รับเลือกให้ทำหน้าที่รองนายกรัฐมนตรีเงา ดูแลตรวจสอบ การทำงานของ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงวัฒนธรรม หลังจากการชุมนุมใหญ่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายกษิตได้ขึ้นเวทีปราศรัยบริเวณสนามหญ้าทำเนียบรัฐบาลและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยโจมตีการทำงานของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน
ปัจจุบัน นายกษิต ภิรมย์ ได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
นายกษิต ภิรมย์ เป็นบุตรชายของ ศาสตราจารย์พลเรือตรีสมภพ ภิรมย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม) อดีตอธิบดีกรมศิลปากร อดีตคณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรและมหาวิทยาลัยศรีปทุม กับ นางจุนเจือ ภิรมย์ (สกุลเดิม "มุสิกะภุมมะ") เกิดเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2487 ได้สมรสกับ นางจินตนา ภิรมย์ (สกุลเดิม วัจนะพุกกะ) มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คน คือ นายโอม ภิรมย์ (ถึงแก่กรรมแล้ว) และ น.ส.แพร ภิรมย์ ผู้ออกแบบกำไลข้อมือ "Thai Together bracelets" ออกจำหน่ายที่สหรัฐอเมริกาเพื่อระดมเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามิในประเทศไทย ผ่านกองทุน “The United States-Thailand Amity for Charity” ของสถานทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา
นายกษิต ภิรมย์เข้ารับการศึกษาชั้นต้นที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน แล้วจึงไปศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่ St. Joseph College เมืองดาร์จีลิง ประเทศอินเดีย หลังจากนั้น จึงกลับเข้ามาศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายกษิตเข้ารับการศึกษาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพียงระยะเวลาหนึ่งและได้สมัครไปศึกษาระดับปริญญาตรีด้าน International Affairs ที่ School of Foreign Service, มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ (Georgetown University) สหรัฐอเมริกา หลังจากนั้น นายกษิตได้เข้ารับการศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ Institute of Social Studies เนเธอร์แลนด์ และ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 32
นายกษิต ภิรมย์ เริ่มเข้ารับราชการที่ กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2511 ในฐานะข้าราชการชั้นผู้น้อยผ่านงานที่กรมองค์การระหว่างประเทศ กรมสารนิเทศ ในปี พ.ศ. 2512 จึงได้รับตำแหน่ง เลขานุการตรี กองการเมือง กรมองค์การระหว่างประเทศ และเติบโตก้าวหน้าในราชการโดยได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นเลขานุการโทและเลขานุการเอกในหน่วยงานต่าง ๆ ของกระทรวงการต่างประเทศ จากนั้นในปี พ.ศ. 2526 ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นระดับผู้อำนวยการกอง โดยนายกษิตได้รับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการกองต่าง ๆ ได้แก่ กองพาณิชย์และอุตสาหกรรม กรมอาเซียน, กองสนเทศเศรษฐกิจ กรมเศรษฐกิจ และกองนโยบายและวางแผน สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และในปี พ.ศ. 2531 จึงเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น รองอธิบดีกรมเศรษฐกิจ และเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง (รับผิดชอบกิจการยุโรป) กระทรวงการต่างประเทศ หลังจากนั้น จึงได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อปี พ.ศ. 2534
หลังจากนั้น นายกษิต ภิรมย์ ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต ณ ต่างประเทศหลายแห่ง กระทั่งเกษียณ ในปี พ.ศ. 2548 ได้แก่
นายกษิต ภิรมย์ เริ่มเกี่ยวข้องกับการเมืองครั้งแรกในปี พ.ศ. 2524 ระหว่างที่รับราชการ กระทรวงการต่างประเทศ โดยได้รับการทาบทามจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่มีความสนิทสนมกับครอบครัวของนายกษิต เนื่องจากนายสุเทพเป็นเพื่อนร่วมรุ่นคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับ เอ๊ด ภิรมย์ น้องชายของนายกษิต เคยไปมาหาสู่รู้จักสนิทสนมกับทุกคนในครอบครัว “ภิรมย์” โดยในครั้งนั้นนายกษิตได้เข้าร่วมในคณะทำงานของ นายชวน หลีกภัย ขณะดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่มี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขานุการรัฐมนตรี โดยนายกษิตได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ดูแลการติดต่อกับต่างประเทศ และการต้อนรับบุคคลสำคัญจากต่างประเทศ เช่น บรรดาทูตานุทูตต่างๆ
นายกษิต ภิรมย์ เป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศที่ได้รับความเชื่อถือจาก นายชวน หลีกภัย อย่างต่อเนื่อง ปี 2537 นายกษิต ขณะดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ จาการ์ตาได้ต้อนรับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชิณวัตร ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หลังจากนั้น พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ได้ติดต่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นทางการเมืองกับ นายกษิต จนกระทั่งมีความสนิทสนมคุ้นเคยกัน เมื่อพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2544 พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจึงได้ให้นายกษิต ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวงเพื่อไปช่วยราชการที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ต่อมาเมื่อพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีการบริหารราชการที่แตกต่างจากที่ได้เคยหารือกันไว้ ได้สัมผัสกับวิธีคิดและวิธีทำงานของพ.ต.ท. ดร.ทักษิณ อย่างใกล้ชิด นายกษิต ภิรมย์ จึงเริ่มออกห่างจาก พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ และในเดือน พฤศจิกายน 2544 ได้ไปดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
หลังจากนั้น นายกษิต ภิรมย์ ขณะดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตไทยประจำ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ได้แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดแจ้งกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กรณีจะนำเงินงบประมาณของประเทศจำนวนมากไปจ้างบริษัท Lobbyist ต่างชาติ ช่วยรณรงค์หาเสียงให้กับ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ในการชิงตำแหน่งเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ โดยนายกษิตได้ส่งโทรสารคัดค้านมายังกระทรวงการต่างประเทศให้เหตุผลว่าเป็นที่รู้กันในเวทีระหว่างประเทศว่าโอกาสของ ดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย แทบจะมองไม่เห็นทาง และประธานาธิบดีสหรัฐมีท่าทีชัดเจนที่จะไม่สนับสนุน ดร.สุรเกียรติ์
นายกษิต ได้ร่วมลงนามทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2549 โดยอ้างอิงความตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
ต่อมาภายหลังการเกษียณอายุราชการ นายกษิต ภิรมย์ ได้รับเชิญจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้เป็นวิทยากรบรรยายเกี่ยวกับพฤติการณ์ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร และได้เข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์อย่างเต็มตัว โดยเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ดำเนินการจัดตั้งรัฐบาลเงา ขึ้นเป็นครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 นายกษิตได้รับเลือกจากที่ประชุมพรรคให้ทำหน้าที่รองนายกรัฐมนตรีเงา ดูแลตรวจสอบการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงวัฒนธรรม หลังจากการชุมนุมใหญ่ของพันธมิตรฯ นายกษิต ได้ขึ้นเวทีปราศรัยใบริเวณสนามหญ้าทำเนียบรัฐบาล และที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยโจมตีการทำงานของรัฐบาลพรรคพลังประชาชน
นายกษิต ภิรมย์ ได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551 นับเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนที่ 43 ของไทย ต่อมาในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2554 ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.อีกสมัย
นายกษิตได้รับตำแหน่ง รมว.กระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่การที่นายกษิตเคยร่วมปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บุกยึดทำเนียบรัฐบาล ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ในช่วงรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ทำให้ไม่เป็นที่ยอมรับของ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ซึ่งได้กล่าวหาว่านายกษิตเป็นรัฐมนตรีจากโควตาของกลุ่มพันธมิตรฯ และพยายามขับไล่ให้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และต่อมาเมื่อ วันที่ 1 กรกฎาคม 2552 ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ราชาเทวะ ออกหมายเรียกในคดีระหว่างบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) กับ นายกษิต ภิรมย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และพวก รวมทั้งสิ้น 25 คน ที่บุกรุกสนามบินสุวรรณภูมิ โดยตั้งข้อหา ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญฯ มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ , เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการมั่วสุมแล้วไม่เลิก, ก่อการร้าย, บุกรุก, ทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งเหตุเกิดระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551 ถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2551 จึงเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดออกตามมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2551 และฉบับที่ 2 ลงวันที่ 1 ธันวาคม 2551
ซึ่งข้อกล่าวหาเหล่านี้ทั้งหมดเป็นการกล่าวเท็จ โดยในเรื่องการชกต่อยกับนักเรียนไทยที่รัสเซีย เป็นการใส่ร้ายของคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ชื่อดัง ซึ่งขณะที่เรียนที่รัสเซียได้ข่มเหงสตรีและกระทำสิ่งไม่เหมาะสมหลายประการ จึงถูกนายกษิตตำหนิ สำหรับเรื่องตั๋วเครื่องบินเป็นการสนับสนุนการจัดกิจกรรมของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว อาทิ การจัดงานเทศกาลอาหารไทย การจัดงานส่งเสริมประเทศไทยต่างๆ
หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 19 - 20 มีนาคม พ.ศ. 2552 และในวันที่ 21 มีนาคม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่ได้มีมติไว้วางใจให้นายกษิตดำรงตำแหน่งต่อไปด้วยเสียงสนับสนุน 237 เสียง แต่ก็ยังน้อยกว่ารัฐมนตรีท่านอื่นที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนั้นถึง 9 เสียง และเป็นรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียวที่ได้รับคะแนนเสียงไม่ไว้วางใจ 1 เสียงจาก นายเกียรติกร พากเพียรศิลป์ ส.ส. ปราจีนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเอง โดยให้เหตุผลว่า "ถ้านายกษิตยังนั่งเป็นรัฐมนตรีต่อไป กลุ่มคนเสื้อแดงก็จะใช้กรณีของนายกษิตเป็นข้ออ้างหลักในการรวมตัวชุมนุม" อย่างไรก็ตาม นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล ชี้แจงว่า พรรคร่วมรัฐบาลมีเสียงทั้งหมด 262 เสียง แต่เข้าร่วมประชุม 259 เสียง แบ่งเป็นเสียงรัฐมนตรี 23 เสียง และประธานสภา 1 เสียง ดังนั้น จึงเหลือเสียงสนับสนุน 234 เสียง แต่นายกษิต ภิรมย์ ได้คะแนนไว้วางใจ 237 เสียง แสดงว่า ได้เสียงจากฝ่านค้านเพิ่มเข้ามาอีก 3 เสียง
ในกลางปี พ.ศ. 2552 ที่ทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ (กมม.) ขึ้น นายกษิตซึ่งเป็นหนึ่งในแนวร่วมของพันธมิตรฯด้วย ได้ให้สัมภาษณ์ว่าจะขออยู่ร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป โดยเห็นว่ามีอุดมการณ์ต่างจากกลุ่มพันธมิตรฯและพรรคการเมืองใหม่